วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 15
บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 15
วิชา การอบรมเลี้ยงดูปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
อาจารย์ผู้สอน อาจารย์ตฤณ แจ่มถิน
วันที่ 25 เดือนพฤศจิกายน 2557

กลุ่มเรียน 101 (วันอังคาร) เวลา 12.20 - 15.00 น.

ความรู้ที่ได้รับ
         โรคสมาธิสั้น หรือ โรคเอดีเอชดี (Attention deficit-hyperactivity disorder หรือ ADHD)

   1. ลดสิ่งเร้า 
      
       สิ่งเร้าเป็นตัวสำคัญที่ทำให้สมาธิของลูกน้อยลง ดังนั้นการลดสิ่งเร้า สมองจะไม่ถูกกระตุ้นมากเกินไป ทำให้เด็กไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่สำคัญ นำไปสู่การมีสมาธิกับสิ่งสำคัญได้มากขึ้น
      
       สำหรับวิธีลดสิ่งเร้านั้น คุณหมอแนะนำว่า พ่อแม่ควรจัดบ้านให้เรียบง่าย และเรียบร้อย ไม่ควรมีลวดลายสีฉูดฉาด หรือของตกแต่งบ้านมากเกินไป พร้อมทั้งจัดของให้เป็นระเบียบ เก็บของในตู้ทึบแทนตู้กระจก
      
       - ควรจัดที่เงียบ ๆ ให้ลูกได้ทำงาน หรือทำการบ้าน ต้องไม่มีเสียงโทรทัศน์รบกวน ส่วนบนโต๊ะควรมีเฉพาะสมุด ดินสอ และยางลบ
      
       - มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสงบ พูดกับเด็กด้วยเสียงเบา ไม่ตะโกน โวยวาย รวมทั้งพ่อแม่ไม่ควรทะเลาะ หรือใช้ความรุนแรงต่อหน้าลูก
      
       - หัดให้ลูกอยู่ในบรรยากาศที่สงบ หรือทำกิจกรรมเงียบ ๆ เช่น หัดให้นั่งเล่นในสนามหญ้าเงียบ ๆ ลดการเที่ยวศูนย์การค้า ไม่ซื้อของเล่นให้มากเกินไป อีกทั้งจำกัดเวลาดูโทรทัศน์ เล่นเกม และคอมพิวเตอร์
      
       ด้านสภาพแวดล้อมที่โรงเรียน ควรจัดให้เด็กมานั่งใกล้ ๆ ครู ไม่ควรให้นั่งใกล้ประตูหน้าต่าง หรือเพื่อนที่ชอบเล่น ชอบคุย 
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
        2. เฝ้ากระตุ้น
      
       - จำเป็นต้องมีผู้ใหญ่คอยติดตาม และตักเตือนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเด็กเล็กไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ตลอดเวลา แม้จะรู้ และเข้าใจว่าควรทำสิ่งใดก็ตาม
      
       - เด็กต้องการความช่วยเหลือจากพ่อแม่ และครูตลอดเวลา
      
       - ทำบันทึกร่วมกันระหว่างพ่อแม่ และครู
      
       วิธีการกระตุ้น
      
       - เตือนเด็กเมื่อถึงเวลาทำงาน หรือเตือนเมื่อหมดเวลาเล่น
      
       - โน้ตข้อความสำคัญในที่ที่เด็กเห็นได้ง่าย เช่น กล่องดินสอ โต๊ะเรียน ผนังห้อง หรือกระดาน
      
       - ตั้งนาฬิกา หรือเครื่องจับเวลาให้เด็กเห็นชัด ๆ ขณะทำงาน เพื่อให้เด็กกะเวลาได้ดีขึ้น และตั้งใจทำงานให้เสร็จทันเวลาที่กำหนด
      
       - แบ่งงานให้สั้นลง โดยให้เด็กได้พักเป็นช่วง ๆ
      
       - แนะเคล็ดวิธีช่วยจำให้ลูก เช่น การย่อ ทำสัญลักษณ์ ผูกเป็นโคลง
      
       - ให้เด็กอ่านออกเสียง หัดขีดเส้นใต้ขณะเรียน
      
       3. หนุนจิตใจ
      
       - เด็กมักทำสิ่งต่างๆ ไม่สำเร็จ เพราะได้รับแต่คำตำหนิติเตียน หมดความมั่นใจ เด็กจึงต้องการกำลังใจอย่างมากจากพ่อแม่ และคุณครู
      
       - ระวังที่จะไม่เข้มงวด จับผิด แต่ควรเปิดโอกาสให้เด็กคิด
      
       - ช่วยเด็กหาวิธีแก้ไขจุดอ่อน เช่น ขี้ลืม
      
       - หาเรื่องตลกขำขันมาคุยกับเด็ก เล่นกับเด็กอย่างสนุกสนาน หรือพาเด็กออกกำลังกายบ้าง
      
       - ชมเด็กบ่อย ๆ เมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่ดี หรือมีความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ
      
       - บอกสิ่งที่สังเกตได้ในทางบวก เช่น เหนื่อยไหม แม่เห็นลูกทำมานานแล้ว วันนี้ลูกคิดได้เร็วกว่าเมื่อวานเยอะเลยนะ หรือ ทำมาได้ตั้ง 3 ข้อแล้ว เอ้าเหลืออีก 2 ข้อเองคนเก่งของพ่อ 
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
http://www.manager.co.th/images/blank.gif
        4. ให้รางวัล
      
       เด็กที่สมาธิบกพร่อง มักจะเบื่อ และขาดความอดทน แต่หากมีรางวัลตามมา เด็กจะรู้สึกท้าทาย และมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น โดยการให้รางวัล ควรให้ง่ายๆ บ่อยๆ มากกว่าที่ให้เด็กทั่วไป และต้องให้ในทันที
      
       นอกจากนี้ควรเปลี่ยนรางวัลบ่อยๆ เพื่อให้เด็กได้สนุก และสนใจ อาจให้เด็กได้ลองคิดรางวัลเองบ้าง หรือให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเด็กเข้าใจ และมีส่วนร่วมในการให้แต้ม/รางวัลแก่เด็กตลอดเวลา
      
       สำหรับการให้รางวัล ถือเป็นแรงจูงใจที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเด็กได้ โดยมีขั้นตอนการให้รางวัลง่ายๆ คือ
      
       - ระบุพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้นทดแทนพฤติกรรมปัญหา (เลือกให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่มีผลต่อเด็กในระยะยาวก่อน)
      
       - ให้รางวัลกับพฤติกรรมใหม่ทุกครั้งที่เห็น
      
       - หลังจากฝึกได้ 1-2 สัปดาห์ เริ่มใช้การลงโทษแบบไม่รุนแรง เช่น Time out ตัดสิทธิ์ อดรางวัล เมื่อเกิดพฤติกรรมปัญหา
      
       - ใช้วิธีการให้รางวัลมากกว่าการลงโทษ
      
       5. การพูดกับเด็ก
      
       - ไม่พูดมาก ไม่เหน็บแนม ประชดประชัน ไม่ติเตียน
      
       - บอกกับเด็กสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่าต้องการให้ทำอะไรในตอนนี้
      
       - หากไม่แน่ใจว่าเด็กฟังอยู่ เข้าใจ พ่อแม่ควรให้เด็กทบทวนว่าสิ่งที่สั่ง หรือพูดไปคืออะไรบ้าง
      
       อย่างไรก็ดี หากเด็กไม่ทำตามคำสั่ง พ่อแม่ควรใช้วิธีเดินเข้าไปหา จับมือ แขน หรือบ่า สบตาเด็ก พูดสั้น ๆ จากนั้นให้เด็กพูดทวน หากเด็กไม่ทำ ให้พาไปทำด้วยกัน หลีกเลี่ยงการบังคับ หรือออกคำสั่งตรงๆ แต่ใช้วิธีบอกกับเด็กว่าเขามีทางเลือกอะไรบ้าง เช่น หากต้องการให้เด็กเริ่มต้นทำการบ้าน แทนที่จะสั่งให้เด็กทำการบ้านตรงๆ อาจพูดว่า เอาล่ะได้เวลาทำการบ้านแล้ว...หนูจะเริ่มทำภาษาไทยก่อน หรือจะทำเลขก่อนดีจ้ะเป็นต้น
      
       6. นับสิ่งดี
      
       - หาเวลาหยุดพักสั้น ๆ ในแต่ละวัน
      
       - เตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เด็กไม่ได้ตั้งใจทำตัวให้มีปัญหา แต่เด็กมีความผิดปกติในการทำงานของสมอง ทำให้คุมตัวลำบาก หยุดตัวเองได้ยาก และไม่มีใครอยากเป็นแบบนี้
      
       - ให้อภัยแก่เด็ก ตัวเราเอง และทุกคนที่อาจไม่เข้าใจในพฤติกรรมของลูก
      
       - คิดถึงความน่ารัก และความดีในตัวเด็ก และตัวเรา (พ่อแม่) เอง
      
       7. มีขอบเขต
      
       - มีตารางเวลา หรือรายการสิ่งที่ต้องทำ เพื่อให้เด็กรับรู้ขีดจำกัด และช่วยควบคุมให้เด็กทำตามง่ายขึ้น
      
       - เรียงลำดับกิจกรรมง่าย ๆ ให้ชัดเจน และแน่นอน เช่น เวลาตื่น เวลานอน เวลาทำการบ้าน อ่านหนังสือ ใช้คอมพิวเตอร์ เล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมอื่นๆ
      
       - ไม่ปล่อยปละละเลย หรือตามใจมากเกินไป เพื่อไม่ให้เด็กสับสนและผัดผ่อนต่อรองบ่อย ๆ
      
       การดูแลลูกสมาธิสั้น สำคัญที่สุด พ่อแม่ต้องมีทัศนคติต่อเด็กในทางบวก ซึ่งพ่อแม่ต้องเข้าใจก่อนว่าลูกไม่ได้แกล้งซน แกล้งดื้อ จากนั้นใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรมที่ไม่ทำลายความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองของเด็กให้ลดลงตามวิธีที่กล่าวไปข้างต้น เมื่อรู้จักลูกของเราแล้ว เรามาเลี้ยงเขาอย่างสร้างสรรค์กันดีกว่า 

ประเมินการเรียนการสอน

ตนเอง      :       เข้าใจเนื้อหา
  อาจารย์    :     เข้าสอนตรงเวลา  สอนเนื้อหาเข้มข้นกระชับเข้าใจ
 เพื่อน       :      อธิบายความรู้ที่เรียนให้ฟังอย่าง  มีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อน


  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น